เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มนุษย์เกิดมาทุกคนปรารถนาความสุข การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ ดีกว่าเกิดในวัฏฏะ ดีกว่าเกิดในอบายภูมิ เห็นไหม นี่เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติยังอยากเกิดเป็นมนุษย์
ฉะนั้น การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ คนเกิดมาแล้วปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ พอปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แต่ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสุขแท้ และอะไรเป็นสุขเทียม เหมือนกับเราพบมิตรแท้ มิตรแท้จะดูแลเราเมื่อเราพลั้งพลาด มิตรแท้จะช่วยเหลือเราต่อเมื่อเราพลั้งเผลอ มิตรแท้จะช่วยปกป้องเราต่อเมื่อเราช่วยตัวเองไม่ได้
คนเทียมมิตร.. ในพระไตรปิฎกว่าคนเทียมมิตรเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา นี่ก็เหมือนกัน เราปรารถนาความสุข ความสุข เห็นไหม แท้หรือเทียม ถ้าความสุขเทียมๆ เราปรารถนาสิ่งใดในโลกนี้ ปรารถนาว่าเป็นความสุขๆ เราหาความสุขกันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เราจะหาความสุขที่แท้จริงเรามาค้นหาตัวเอง
ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดนะ ปฏิเสธลัทธิ ปฏิเสธเทพเจ้า ปฏิเสธทุกอย่างเลย พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมด เพราะว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำเท่านั้น อริยทรัพย์ เห็นไหม อริยสัจ สัจจะความจริงอันนี้มันจะค้นคว้ามาในตามความเป็นจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธทุกๆ อย่างนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราค้นคว้าหาตัวเอง ให้เราค้นคว้านะ ให้เราช่วยเหลือตัวเราเอง
ดูการศึกษาทางโลกนะ เวลาการศึกษาทางโลกเขาศึกษาทำวิจัยต่างๆ เขาเข้าใจทุกๆ อย่างหมดเลย เช่นทางการแพทย์เขาศึกษาร่างกายของมนุษย์ เขาศึกษาหมดเลย แต่! แต่ศึกษานะ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราไปหาใครล่ะ? เราก็ไปหาหมอใช่ไหม? แต่เวลาหาหมอ เวลารักษาคนไข้หาย ก็คนไข้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่เวลาถึงที่สุดแล้วทั้งคนไข้และหมอก็ต้อง.. นี่ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ก็ต้องสิ้นสุดตามอายุขัยไป เห็นไหม
การศึกษาทางโลก นี่ความสุขทางโลก ความสุขทางโลก ฉะนั้น ที่เรามาอยู่วัดอยู่วากัน เรามาเพื่อปฏิบัติกัน เราจะมาค้นหาตามความเป็นจริงของเรา ถ้าค้นหาตามความเป็นจริงของเรา ใครค้นหาใจของตัวเองเจอ ถ้าใครค้นหาใจของตัวเองเจอคือทำความสงบของใจได้ ถ้าใครทำความสงบของใจได้จะ อืม!
เวลาเราบอกว่านาย ก. นาย ข. นาย ง. นี้มันเป็นในทะเบียนบ้านนะ เวลาทะเบียนบ้านเขาเปลี่ยนชื่อ เขาเปลี่ยนของเขาไปแล้วนะ แต่เวลาเราไปค้นจิตเราเจอ จิตมันชื่ออะไร? จิตเรานี่ชื่ออะไร ความรู้สึกของคนมันชื่ออะไร? ความรู้สึกของคนนะ นี่สัมมาสมาธิ ถ้าเราค้นหาจิตของเราเจอ เห็นไหม นี่ความจริงอยู่ที่นี่ ชีวิตมันอยู่ที่นี่
ชีวิต เห็นไหม ชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันปฏิสนธิมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่ปฏิสนธิอันนี้ จิตตัวนี้ ชีวะนี่ ชีวิตต้องมีจิตก่อน พอมีจิตก่อนปฏิสนธิในอะไร?
นี่โอปปาติกะ เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นโอปปาติกะ เกิดเป็นมนุษย์ต้องมีพ่อมีแม่ ตั้งแต่ไข่ของแม่ใบเดียวนั่นน่ะ มันวิวัฒนาการขึ้นมาจนเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่มันอาศัยอะไรล่ะ? อาศัยเวรกรรม เวรกรรมเพราะอะไร? เพราะเกิดจากพ่อจากแม่ ถ้าไม่มีพ่อมีแม่ แล้วไม่มีปฏิสนธิจิตก็เกิดไม่ได้ เห็นไหม
มีไข่กับสเปิร์ม แต่ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิต ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณขึ้นมาเกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้เพราะอะไร? เพราะการเกิดมันต้องมีใจ แล้วใจดวงนี้เกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์.. ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แล้วหาความสุขกันอย่างใด? หาความสุขกันอย่างใด? ยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสุข ไม่เป็นสุขเลย
นี่จะมั่งมีมีสุขเราก็สุข จะมีสถานะเราก็จะสุข จะมีเพื่อนฝูงมากเราก็จะสุข จะมีข้าวของเงินทองแล้วจะสุข จริงหรือเปล่า? มันเป็นของชั่วคราว เห็นไหม นี่ไงคนเทียมมิตร มิตรเทียม มิตรไม่ใช่มิตรแท้ ถ้ามิตรแท้มันจะปกป้องเรานะ ดูแลเรา มิตรแท้นะรักมาก มิตรแท้จะคอยดูแล คอยปกป้อง
สติ! ถ้ามันมีสติ เรารักษาจิตเราได้ ถ้ามีธรรมะอยู่ในหัวใจ นี่ถ้าจิตมันอิ่มเต็มของมัน เห็นไหม มันอิ่มเต็มของมัน มันไม่หิวกระหาย พอไม่หิวกระหายมันก็ไม่เสวยอารมณ์ที่มีแต่ความทุกข์ เวลาเสวยอารมณ์ เสวยความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ ความลังเลสงสัย ความวิตกกังวล นี่คิดๆๆๆ มันเสวย มันเสวย มันคิดของมัน ทุกข์! ทุกข์! ทุกข์น่าดูเลย เห็นไหม มิตรไม่ใช่มิตรแท้
ถ้ามิตรแท้นะมีสติ มีสัมปชัญญะ นี่พอมีสตินะคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดเล่า พอมีสติมันทันความคิดของเรา พอความคิดนะ คิดอย่างนี้หลายรอบแล้ว คิดอย่างนี้ทีไรก็เจ็บช้ำน้ำใจทุกที แต่มันก็อดไม่ได้ มันอดไม่ได้ เห็นไหม อดไม่ได้เรามีสติ อดไม่ได้เราก็หาเหตุหาผลสิ
นี่คิดแล้วเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ถ้าเราไม่ได้รับข้อมูลนี้ เราก็จะไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ แล้วเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว นี่แล้วถ้าอดีตไปแล้ว ถ้ามันมีสตินะ มันมีสติ มันมีปัญญามันจะมีเหตุมีผล พอมีเหตุมีผลนะมันเห็นโทษของมัน มันก็คลาย มันก็เริ่มไม่คิด เริ่มปล่อย เริ่มวาง เริ่มปล่อย เริ่มวาง เห็นไหม นี่มิตรแท้!
มิตรแท้จะหาความสุข แล้วพอมันสงบเข้ามานะ พอจิตมันสงบเข้ามา แก้ว แหวน เงิน ทองก็อยู่ที่นั่น สมบัติพัสถานก็อยู่ที่นั่น สถานะก็อยู่ที่นั่น ตัวเองมีความสุข เห็นไหม ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่นี่ แต่มันไขว่คว้าหาได้ยากนัก มันจะต้องลงทุนลงแรงด้วยตัวของเราเอง เวลาเราไปวัดไปวา เราฟังเทศน์ฟังธรรม พอมันพอใจเราก็มีความเบา ความสบายใจ เห็นไหม เป็นอามิส
เวลาทำบุญกุศล เรามีความสุขไปทำบุญกุศล โอ้โฮ.. สภาวะแวดล้อมมันน่าชื่นใจมาก อู้ฮู.. มีความสุขมาก ก็เท่านั้นแหละ แล้วต่อไปล่ะ? ต่อไปทำอย่างไรต่อ เห็นไหม แต่ถ้ามันมีสติปัญญาของมัน มันรักษาของมัน มันดูแลของมัน มันอยู่ของมัน นี่การลงทุนลงแรงทำได้ยาก แต่ถ้าเราลงทุนลงแรง
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
เรามีเหตุมีผล มีสติ มีปัญญาของเรา เราจะรักษาของเราได้ เราไม่ต้องอาศัยใคร ไม่เราอิงใคร นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตดวงนั้นจะพัฒนาจิตดวงนั้นขึ้นมา พอจิตดวงนั้นพัฒนาขึ้นมาจนมีพละ มีกำลังของมันขึ้นมา จิตดวงนั้นจะออกทำงาน
นี่สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ภาวนามยปัญญาไม่มี เกิดไม่ได้ ภาวนามยปัญญาเกิดบนสัมมาสมาธิ เกิดบนจิตที่มันไม่มีกิเลสจรมา.. เกิดมาโดยที่กิเลสมันจรมา มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลงใช่ไหม? เวลาปฏิบัติมันก็ว่าง เห็นไหม มิตรเทียม ว่างไปหมดเลย จินตนาการไปหมดเลย แล้วมันก็เกิดจินตมยปัญญาใช่ไหม? นิพพานบอกว่าว่าง นิพพานบอกมีความสุข เราก็มีความสุขอย่างนั้นแหละ โอ๋ย.. ขนพองสยองเกล้า โอ๋ย.. มีความสุขมากเลย แล้วอะไรเป็นเหตุเป็นผลล่ะ?
เวลากิเลสนะ เวลาจิตใจเราเข้มแข็งกิเลสมันก็หลบตัว กิเลสนี่กำลังมันมา ดูสิกระแสน้ำมาใครทานมันอยู่ เวลาอารมณ์รุนแรงมานี่ใครทานมันอยู่ แต่ถ้าเวลาจิตใจเราเข้มแข็งเราปกป้องได้ เราทานได้ เราก็โอ้โฮ.. มันว่าง เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แต่เหตุมันยังไม่สมดุลกับมัน
นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราตรัสรู้เองโดยชอบ
โดยชอบและโดยไม่ชอบ โดยไม่ชอบคือจำมา ไปจินตนาการมา ไปอ้างอิงมา มันไม่ชอบ มันไม่ชอบเพราะอะไร? เพราะถ้าใจไม่สงบเข้ามา ปัญญานี่มันอยู่ในมรรค ๘ เห็นไหม สัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ มรรค ๘ มันสมบูรณ์ไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นสัมมาสมาธิมันมาจากไหนล่ะ? พอสัมมาสมาธินะจิตมันอิ่มเต็มของมัน มันไม่เสวยอารมณ์ ไม่หิว ไม่กระหาย ไม่เที่ยวไปเสวยสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นยาก มันคัด มันเลือก มันแยกมันแยะนี่ปัญญามันเกิดแล้ว พอปัญญามันเกิดนะมันเริ่มแสวงหาของมัน
นี่กิเลสๆ ความเป็นทุกข์เป็นยาก ตัวมันเป็นยักษ์เป็นมาร มันเป็นอย่างไร? มันอยู่ที่ไหน? กิเลสมันเป็นอย่างไร? นี่มันอาศัยอะไร? แล้วมันเกิดอย่างไร? แล้วมันถึงครอบคลุมเราอยู่นี่มันทำอย่างไร? พอจิตสงบมันพิจารณาไปในสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์เราก็อาศัยร่างกายออกทำหน้าที่การงาน ออกหาความสุขต่างๆ ก็อาศัยร่างกายนี้ ถ้าจิตใจไม่คิด ร่างกายนี้ก็ไปไม่ได้ ถ้าจิตใจมันคิด มันต้องการ มันปรารถนา ร่างกายนี้ก็ขยับตามมันไป ร่างกายนี้ก็เป็นธาตุ ๔ เท่านั้นเอง
เวลาเป็นความคิด ความคิดก็เป็นขันธ์ ๕ แล้วตัวจิต ตัวอวิชชามันอยู่ที่ไหนล่ะ? นี่สิ่งความคิด ความปรุง ความแต่งต่างๆ มันก็อาศัยร่างกายนี้ออกไป นี่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นี้เวลากิเลสมันอาศัยอะไร? มันก็อาศัยความเคลื่อนไหวร่างกายนี้แหละออกมาเหมือนกัน เวลาอาศัยร่างกาย พอเวลาจิตมันสงบเข้ามา มันสงบชั่วคราว เห็นไหม สงบแต่มันไม่ได้แก้ไข ถึงบอกว่าเวลาจิตสงบแล้วนี่สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาเกิดไม่ได้
ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญานะ ปัญญาที่เป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เป็นปัญญาฆ่ากิเลสนะ แต่ถ้าเป็นสัญญาเกิดได้ สัญญาไม่ต้องไปคิดมันหรอกมันมีอยู่แล้ว มันคว้า มันจับมาอยู่แล้ว แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วนี่มันไม่จับ มันไม่คว้า ไม่เอาสิ่งใดเป็นทุกข์เป็นภัยมาใส่ใจมัน แล้วมันจะใช้ปัญญาอย่างไรล่ะ? ปัญญาอย่างไรมันจะออกล่ะ?
นี่เวลาที่มันไหลมานะมันเป็นอนุสัย มันไหลมา เวลาความคิดโดยสัญชาตญาณมันพุ่งไปเลย นี่มันพร้อมกับกิเลสไปตลอดเวลา แต่เวลาจิตมันสงบแล้วมันแยกแยะแล้ว นี่สิ่งที่เป็นกายเป็นอย่างไร? สิ่งที่เป็นเวทนาเป็นอย่างไร? สิ่งที่เป็นจิตเป็นอย่างไร? ธรรมารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร?
เพราะมีสติปัญญามันจับต้องได้ มันจับหัวขโมยได้ พอมันจับหัวขโมยได้มันก็มาไต่สวนสอบสวน พอไต่สวนสอบสวน กิเลสก็คือความผิดอันนั้นแหละ ถ้ามันไต่สวนสอบสวนจนมันเป็นความถูกต้องใช่ไหม? ความถูกต้องมันก็คลายออก มันไม่ทำอย่างนั้นอีก พอคลายออก สังโยชน์ที่ร้อยรัดอยู่เวลามันขาดออกไปมันสมุจเฉทปหาน นี่ไงภาวนามยปัญญา
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
ถ้าเอ็งไม่มีเหตุเอาธรรมอะไรมา ก็จำมาไง จำเขามา ก๊อบปี้เขามา แล้วมันเป็นความผิดไหมล่ะ? การศึกษาเป็นสุตมยปัญญา เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ เราศึกษามาเพื่อปฏิบัตินะ เราไม่ใช่ศึกษามายึดว่าเป็นความรู้ของเรา เราเรียนหนังสือจบมา ไม่ทำงานเรามีเงินใช้ไหม? เราเรียนมาจบแล้วเราก็ต้องทำงานของเรา เอามาทำงาน
จิตเวลาเราศึกษามาแล้ว เรารู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมของเรายังไม่มี แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา ธรรมของเรามีขึ้นมานี่มันยืนขึ้นมาได้ เห็นไหม เวลามันพัฒนาการของมัน มันชำระกิเลสของมันไป
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ นี่มันมีเหตุมีผลของมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ การประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม มรรคญาณ มรรคสามัคคีมันทำลายกิเลสเรา เวลากิเลสเราขาดไปจากใจ กิเลสมันขาดไปโดยชอบ! โดยชอบธรรม โดยความเป็นจริง นี่สุขอย่างนี้ที่เราปรารถนากัน
คนเราเกิดมานี่เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข แต่ก็หาความสุขกันทางโลกๆ แต่ในพุทธศาสนาหาความสุขตามความเป็นจริง แล้วต้องเอาความจริงด้วย ถ้ามันเป็นความจริงแล้วนะ มันข้ามภพข้ามชาติ ถ้าจิตเรายังไม่ถึงโสดาบันนะ ยังเกิดตายๆ นี่ไม่มีต้นไม่มีปลาย คือมันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันจะเป็นธรรมชาติเพราะจิตมันมีแรงขับอยู่ มันเป็นสสารที่มีชีวิตที่มันจะหมุนไปตามกระแสของวัฏฏะ มันไม่มีวันจบสิ้นหรอก แต่ถ้าเป็นโสดาบันนะอีก ๗ ชาติ เห็นไหม
นี่มันข้ามภพข้ามชาติอย่างนี้ไง อีก ๗ ชาติ แต่ถ้าพูดถึงสกิทาคามี อนาคามีล่ะ? นี่อนาคามีอีกชาตินั้น ถ้าจบก็จบเลย แล้วถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ที่นี่ล่ะ? ถ้ามันไม่เกิดไม่เกิดอย่างไร? คนอื่นเขาต้องเดินไป จิตออกจากร่างไปเขาต้องขับเคลื่อนไป เขาต้องปฏิสนธิ เขาต้องเกิดแน่นอน แล้วจิตเราที่มันสิ้นกิเลสแล้วมันจะไม่เกิดอย่างไร? มันขาดช่วงอย่างไร? มันดับสิ้นอย่างไร? แล้วมันอยู่ของมันอย่างไร? เห็นไหม สุขแท้ๆ ที่เราจะแสวงหากัน แล้วมันหาที่ไหนล่ะ?
ต้นทุนคือความรู้สึก คือใจนี่แหละ ใจนี้จะเป็น ใจนี้มาเกิด แล้วใจนี้จะรับรู้สึก แล้วใจนี้มันจะเป็นของมัน แล้วใจนี้ต้องทำ มาทุกข์มายากกัน มาค้นหาตัวเองกัน มาปฏิบัติกันก็เพื่อใจดวงนี้ เอวัง